อาการเท้าบวมสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยไปจนถึงภาวะที่อาจเป็นอันตราย และสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยสังเกตได้จากการที่เท้ามีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าปกติ รู้สึกตึงและเมื่อใช้นิ้วกดลงไปที่บริเวณที่บวมแล้วปล่อย จะเห็นรอยบุ๋มค้างอยู่ชั่วขณะ อาการแบบนี้อาจเกิดขึ้นเพียงข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง ซึ่งความรุนแรงและอันตรายนั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ บางครั้งอาจเป็นเพียงอาการชั่วคราวที่ไม่อันตราย แต่ในบางกรณีก็อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายแรงที่ต้องรีบพบแพทย์ ในบทความนี้ จะพาคุณได้ดูว่าอาการบวมที่เท้า มีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง พร้อมวิธีการรักษาว่าควรทำอย่างไรดี
เท้าบวม เกิดจากอะไร
เท้าบวมเป็นอาการที่เกิดจากการที่มีของเหลวคั่งอยู่ในเนื้อเยื่อบริเวณเท้าและข้อเท้ามากผิดปกติ ซึ่งมีหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าว ตั้งแต่สาเหตุที่ไม่รุนแรงไปจนถึงสาเหตุที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ดังนี้
1. ยืนนานเกินไป
การยืนหรืออยู่ในท่าเดียวเป็นเวลานานติดต่อกันหลายชั่วโมง เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของอาการเท้าบวม เนื่องจากการอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองในร่างกายไม่ดีเท่าที่ควร โดยเฉพาะในบริเวณขาและเท้า ทำให้ของเหลวในร่างกายไหลลงมาคั่งอยู่ที่ส่วนล่าง นอกจากนี้ การที่กล้ามเนื้อน่องและข้อเท้าไม่ได้เคลื่อนไหว ยังทำให้การสูบฉีดเลือดกลับสู่หัวใจทำงานได้ไม่เต็มที่ จึงยิ่งเพิ่มโอกาสการเกิดอาการบวมได้ยิ่งขึ้น
2. มีอาการบาดเจ็บที่เท้า
การบาดเจ็บที่เท้าไม่ว่าจะเป็นการพลิก การกระแทกหรือตกจากที่สูง สามารถทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อในบริเวณเท้าและข้อเท้าได้ ส่งผลให้หลอดเลือดในบริเวณนั้นขยายตัวและมีของเหลวรั่วซึมออกมาสะสมในเนื้อเยื่อมากขึ้น อาการบวมในกรณีนี้มักจะเกิดขึ้นเฉพาะที่และมาพร้อมกับอาการปวด ร้อนและอาจมีรอยช้ำร่วมด้วย การบวมจากการบาดเจ็บอาจใช้เวลาหลายวันถึงหลายสัปดาห์ในการหาย ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการบาดเจ็บ
3. เท้าบวมจากโรคประจำตัว
โรคบางชนิดสามารถทำให้เกิดอาการเท้าบวมได้ โดยเฉพาะโรคที่ส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดและการทำงานของอวัยวะสำคัญในร่างกาย เช่น
- โรคหัวใจ ที่ทำให้การสูบฉีดเลือดไม่มีประสิทธิภาพ
- โรคไต ทำให้ร่างกายไม่สามารถขับน้ำส่วนเกินออกได้ดี
- โรคตับ ส่งผลให้ระดับโปรตีนในเลือดผิดปกติ
- โรคเบาหวาน มักมาพร้อมปัญหาการไหลเวียนเลือดที่ไม่ดี ทำให้เกิดการคั่งของของเหลวได้ง่าย
4. ตั้งครรภ์
ในระหว่างการตั้งครรภ์ ร่างกายของคุณแม่มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่อาจนำไปสู่อาการเท้าบวมได้ ทั้งการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนที่ทำให้ร่างกายเก็บน้ำไว้มากขึ้น การผลิตเลือดที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของทารกและแรงกดทับจากมดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นต่อหลอดเลือดดำใหญ่
อาการบวมมักพบได้ในช่วงไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ และบวมขึ้นมากขึ้นช่วงใกล้คลอด อย่างไรก็ตาม หากมีอาการบวมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหรือรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อมีอาการบวมที่มือและใบหน้าร่วมด้วย ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
5. การใช้ยาบางชนิด
ยาหลายชนิดมีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดอาการเท้าบวมได้ โดยเฉพาะยาที่มีผลต่อการไหลเวียนของเลือดหรือการทำงานของไต เช่น ยาลดความดันโลหิตในกลุ่มแคลเซียมแชนแนลบล็อกเกอร์ ยาต้านการอักเสบ ยาคุมกำเนิด และยาสเตียรอยด์ นอกจากนี้ ยารักษาโรคเบาหวานและยาต้านซึมเศร้าบางชนิดก็อาจทำให้เกิดอาการบวมได้เช่นกัน การบวมจากยามักจะค่อย ๆ ดีขึ้นเมื่อหยุดใช้ยาหรือเปลี่ยนไปใช้ยาชนิดอื่น
นอกจากสาเหตุหลักข้างต้นที่กล่าวมาแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจส่งผลให้เกิดอาการเท้าบวมได้ เช่น การรับประทานอาหารที่มีเกลือหรือโซเดียมสูง ภาวะขาดสารอาหารบางชนิด การอยู่ในที่ที่มีอากาศร้อนจัด การเดินทางเป็นระยะเวลานาน หรือแม้แต่การออกกำลังกายที่หักโหมเกินไป หากคุณเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริง จะช่วยให้สามารถเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมได้
เท้าบวม อันตรายไหม
อาการเท้าบวมอาจมีความรุนแรงแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสาเหตุ ในหลายกรณีอาจเป็นเพียงอาการชั่วคราวที่ไม่อันตราย แต่บางครั้งก็อาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะที่รุนแรง โดยเฉพาะเมื่อมีอาการเท้าบวมที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน บวมมากผิดปกติ หรือมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น หายใจลำบาก เจ็บหน้าอกหรือมีไข้ ในกรณีของสตรีมีครรภ์ หากมีอาการบวมรุนแรงร่วมกับอาการปวดศีรษะ ตาพร่าหรือปวดท้องช่วงบน อาจเป็นสัญญาณของภาวะครรภ์เป็นพิษที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
เท้าบวม รักษาอย่างไร
การรักษาอาการเท้าบวมขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ แต่มีวิธีการดูแลเบื้องต้นที่สามารถช่วยบรรเทาอาการได้ เช่น การยกขาให้สูงกว่าระดับหัวใจเป็นระยะ การเปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ ไม่อยู่ในท่าเดิมนานเกินไป การสวมใส่รองเท้าและถุงเท้าที่พอดี ไม่รัดแน่นจนเกินไป ใช้เจลประคบร้อนเย็นเพื่อลดบวมและการควบคุมอาหารที่มีรสเค็มหรือมีโซเดียมสูง นอกจากนี้ การออกกำลังกายเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอและการรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติก็มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดอาการบวมที่เท้าได้
สรุปบทความ
อาการเท้าบวมอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต อาการบาดเจ็บ โรคประจำตัว ตั้งครรภ์ หรือผลข้างเคียงจากยา ความรุนแรงของอาการอาจแตกต่างกันไป บางกรณีสามารถดูแลรักษาได้ด้วยตนเอง แต่หากมีอาการรุนแรงหรือเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม ทั้งนี้ การเสริมสร้างสุขภาพที่ดีและการใส่ใจสังเกตอาการผิดปกติของร่างกาย จะช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้