รวมเรื่องต้องรู้ของอาการชา ที่อาจอันตรายถึงชีวิต

รวมเรื่องต้องรู้ของอาการชา ที่อาจอันตรายถึงชีวิต - samh

อาการชา ที่บริเวณมือและเท้า รวมถึงบริเวณอื่นๆ ของร่างกาย เป็นอาการที่ใครหลายคนอาจเคยประสบพบเจอมาก่อน ซึ่งรู้หรือไม่ว่าอาการชาเหล่านี้ อาจเป็นอาการที่กำลังบ่งบอกหรือเป็นสัญญาณเตือนของโรคบางอย่าง หากคุณเคยมีอาการชาเกิดขึ้นหรือมีอาการชาที่บริเวณส่วนต่างๆ ของร่างกายอยู่บ่อยครั้ง บทความนี้จะเป็นบทความที่ทำให้คุณเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ รวมถึงรู้เท่าทันก่อนที่อาการเหล่านี้จะนำไปสู่อันตราย เพื่อให้สามารถรักษาได้อย่างทันท่วงที

อาการชา เกิดจากอะไร

ลักษณะของ อาการชา ที่เกิดขึ้นนั้น จะมีลักษณะอาการที่อาจเป็นได้ทั้งการสูญเสียความรู้สึก มีความรู้สึกถึงว่าผิวหนังหนาเป็นปื้นๆ หรืออาจมีอาการว่ายิบๆ ซ่าๆ เหมือนมีเข็มมาทิ่ม รู้สึกปวดแสบปวดร้อน มีความเสียวคล้ายไฟช็อต ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นนี้อาจเกิดขึ้นจากอาการของโรคหรือเป็นสัญญาณเตือนของการเกิดโรค อาทิเช่น โรคขาดวิตามินและโรคเบาหวาน เป็นต้น

อาการชา มีกี่แบบ

อาการชา มีกี่แบบ - samh

ในความเป็นจริงแล้ว อาการชา เป็นอาการที่อาจมีหลายสาเหตุการเกิดด้วยกัน ซึ่งสามารถที่จะแยกออกได้ตามตำแหน่งที่เกิดอาการชาเป็นหลัก โดยสามารถที่จะแบ่งออกเป็น 4 แบบ ตามตำแหน่งการชาได้ดังนี้

ชาข้างเดียว

อาการชาครึ่งซีก ที่บริเวณใบหน้า, แขน, ขา หรือชาข้างเดียว เช่น อาการชาด้านหน้าซ้ายและแขนซ้าย หรืออาการชาที่บริเวณแขนขวาและขาขวา อาจเป็นอาการที่อาจต้องระวังถึงสาเหตุจากในสมอง หากอาการชาที่เกิดขึ้นนี้เป็นอาการที่เกิดขึ้นโดยเฉียบพลัน มักเป็นอาการที่มีสาเหตุการเกิดมาจากเส้นเลือดสมองตีบหรือแตก แต่ในกรณีที่อาการค่อยๆ เกิด อย่างช้าๆ แบบใช้เวลานาน มักมีสาเหตุอาการมาจากสาเหตุอื่น อาทิเช่น สมองอักเสบ, ติดเชื้อ หรือเกิดจากเนื้องอกในสมอง เป็นต้น

ชาทั้งสองข้าง

หากมีอาการที่ไม่ได้ชาเพียงครึ่งซีก แต่รู้สึกได้ถึงการชาทั้งสองฝั่ง โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นอาการที่มีสาเหตุมาจากเส้นประสาทส่วนปลาย โดยมักเกิดอาการชาที่มือ, แขน และขา ทั้งสองข้างอย่างเท่าๆ กัน อาจเกิดจากโรคบางอย่าง อาทิเช่น โรคเบาหวาน, ภาวะไทรอยด์ต่ำ, ภาวะขาดวิตามิน หรืออาจเกิดขึ้นจากยาหรือสารพิษ เช่น พิษจากแอลกอฮอล์เรื้อรัง, การสูบบุหรี่, ผลข้างเคียงของยาบางชนิด, โรคภูมิแพ้ตัวเอง เช่น SLE หรือโรคพันธุกรรมบางอย่าง หากมีอาการชามานานแล้วอาจทำให้เกิดกล้ามเนื้ออ่อนแรงร่วมด้วยได้

ชาเฉพาะจุด

อาการชาตำแหน่งเดียว หรือการชาเฉพาะจุดที่บริเวณตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง เป็นกลุ่มอาการที่อาจเกิดจากการที่เส้นประสาทถูกกดทับ ยกตัวอย่างเช่น การชาที่บริเวณมือขวา อาจเกิดขึ้นได้จากโรคพังผืดข้อมือรัดเส้นประสาท เป็นโรคที่เกิดจากมีการใช้มือมากจนเกินไป ทำให้พังผืดหนาตัวขึ้นจนไปกดทับที่เส้นประสาทบริเวณข้อมือ และผู้ที่มีนิสัยชอบนั่งไขว่ห้างหรือนั่งขัดสมาธินานๆ ก็อาจทำให้เส้นประสาทขาถูกกดทับและมีอาการชาที่บริเวณขาได้เช่นเดียวกัน

ชาจากกระดูกต้นคอ

กระดูกคอและกระดูกสันหลังเสื่อม หมอนรองกระดูกทับเว้นประสาท อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดการชาที่บริเวณกระดูกต้นคอได้ ซึ่งการชาที่เกิดขึ้น จะมีลักษณะอาการที่ชาตามแนวเส้นประสาทที่ออกมาจากกระดูกต้นคอและหลังที่มีปัญหา

โรคปลายประสาทอักเสบ จากอาการชา อันตรายแค่ไหน

โรคปลายประสาทอักเสบ จากอาการชา อันตรายแค่ไหน - samh

ลักษณะอาการของโรคปลายประสาทอักเสบนั้น อาจขึ้นอยู่กับเส้นประสาทที่ได้รับผลกระทบ

  • เส้นประสาทคู่ที่ 7 : ทำให้มีอาการหน้าเบี้ยว, ใบหน้าอ่อนแรงครึ่งซีก
  • เส้นประสาทคู่ที่ 8 : อาจทำให้สูญเสียการทรงตัว, มีอาการบ้านหมุน และบางรายอาจมีอาการหูแว่วหรือหูดับ
  • เส้นประสาทคู่ที่ 3, 4 หรือ 6 : อาจทำให้เกิดภาพซ้อนแนวใดแนวหนึ่ง
  • เส้นประสาทคู่ที่ 5 : จะมีอาการปวดเสียวบนใบหน้า มีลักษณะคล้ายกับการถูกไฟช็อต

ซึ่งหากเส้นประสาทเกิดความเสียหายจนส่งผลให้เกิดปลายประสาทอักเสบแล้ว อาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ที่มีความรุนแรงได้ อาทิเช่น การติดเชื้อจนทำให้เกิดเนื้อตาย เป็นต้น

รู้หรือไม่ อาการชา อาจเสี่ยงเป็นอัมพาตได้

หากเกิดอาการชา ที่มาจากสาเหตุการใช้งานร่างกายหนัก การใช้ แผ่นประคบร้อนไฟฟ้า เพื่อเพิ่มการหมุนเวียนโลหิต ควบคู่ไปกับการรักษาที่เหมาะสม อาจทำให้อาการที่เกิดจากการใช้งานร่างกายหนักสามารถที่จะหายไปได้ แต่หากการชาที่เกิดขึ้นมีลักษณะชาที่แขน, ขา หรือมีการชาที่บริเวณใบหน้า ร่วมกับมีภาวะอ่อนแรง อาจเป็นอาการที่เกิดจากโรคหลอดเลือดทางสมอง ซึ่งหากไม่รีบเข้าพบแพทย์อาจทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ เสี่ยงเป็นอัมพาต พิการ หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

สรุปบทความ

สำหรับผู้ที่มีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นหรือรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายตนเอง เพื่อความปลอดภัยควรเข้าพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยอย่างถูกต้อง หากอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นเป็นอาการที่บ่งบอกถึงความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้าย จะทำให้แพทย์สามารถทำการรักษาตามแนวทางการรักษาได้อย่างตรงจุดและทันท่วงที หากรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นห้ามปล่อยเอาไว้เด็ดขาด