ระดับน้ำตาลในเลือดปกติเท่าไหร่ ดูอย่างไร ?

สำหรับสุขภาพน้ำตาลในเลือด ระดับน้ำตาลในเลือดปกติเท่าไหร่ จึงจะเหมาะสม หลายคนก็มักจะได้ยินคำว่าการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดที่ต่ำกว่า 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานได้เป็นอย่างดี และระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงจนเกินไป ก็อาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้อีกมากมาย หากไม่อยากให้ถึงโรคร้ายเหล่านั้น ก็ต้องรีบมาทำความรู้จักระดับน้ำตาลในเลือดกัน แต่ต้องบอกก่อนว่าเพียงรู้จักเท่านั้นไม่พอ แนะนำว่าต้องควบคุมน้ำตาลด้วยเพื่อสุขภาพดีอย่างยั่งยืน ถ้าทุกคนพร้อมแล้วตามไปอ่านรายละเอียดด้วยกันได้เลย  

น้ำตาลในเลือด ปกติเท่าไหร่

เชื่อเลยว่า ไม่ว่าใครก็จะต้องเคยตรวจค่าระดับน้ำตาลในเลือดมาอย่างแน่นอน เพราะเมื่อเราไปตรวจสุขภาพประจำปี หนึ่งในการตรวจก็จะมีการวัดค่าระดับน้ำตาลในเลือดอยู่เสมอ แต่ก็มักจะมีคำถามอยู่เสมอว่าแล้วน้ำตาลในเลือดปกติเท่าไหร่ โดยการตรวจวัดค่าระดับน้ำตาลในเลือดแต่ละครั้ง ก็จะต้องมีการเตรียมตัวงดอาหาร เป็นระยะเวลาอย่างน้อยประมาณ 8 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว ซึ่งปกติแล้วจะมีค่าระดับน้ำตาลในเลือด ดังต่อไปนี้

  • ค่าน้ำตาลปกติ จะอยู่ระหว่าง 70 – 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
  • ค่าระดับน้ำตาลในเลือดที่จะเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน จะอยู่ระหว่าง 100 – 125 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
  • ค่าระดับน้ำตาลในเลือด ที่มีการบ่งบอกว่าท่านเป็นโรคเบาหวาน จะมีค่ามากกว่า 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร 

ใครบ้างที่ควรตรวจน้ำตาลในเลือด

หลายคนมักสงสัยว่าน้ำตาลในเลือดปกติเท่าไหร่ และจำเป็นต้องตรวจวัดบ่อยแค่ไหน โดยทั่วไปแล้ว การตรวจน้ำตาลในเลือดควรทำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ในช่วงตรวจสุขภาพประจำปี แต่สำหรับกลุ่มเสี่ยงต่อไปนี้ควรได้รับการตรวจอย่างสม่ำเสมอ ดังนี้ 

  • ผู้ที่มีประวัติคนครอบครัวเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวาน
  • ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน
  • ผู้ที่มีอายุมากกว่า 35 ปี
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวเป็นโรคความดันโลหิตสูง
  • ผู้ที่เคยเป็นเบาหวานขณะกำลังตั้งครรภ์  

นอกจากนี้นยังรวมถึงผู้ที่พฤติกรรมและสัญญาณเตือนว่าอาจจะเป็นโรคเบาหวาน เช่น หิวน้ำบ่อย รู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา รู้สึกหิวบ่อย ปวดปัสสาวะบ่อยและหากเกิดอุบัติเหตุจนกลายเป็นแผล แปลก็หายช้ากว่าปกติ แนะนำให้สังเกตอาการของตนเองโดยเบื้องต้นจะดีกว่า

วิธีการเช็กค่าน้ำตาลในเลือด

การตรวจวัดเพื่อดูว่าน้ำตาลในเลือดปกติเท่าไหร่ สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้

1. Fasting Blood Sugar (FBS)

วิธีตรวจที่จำเป็นต้องงดอาหารก่อนการเจาะเลือดอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ผลการตรวจคือ ค่าความเข้มข้นน้ำตาลในเลือด ณ เวลาที่เจาะเลือดภายใต้ระยะเวลาการอดอาหารตามที่กำหนด เป็นวิธีมาตรฐานที่สามารถเปรียบเทียบค่าระหว่างบุคคลได้ว่าร่างกายของใครควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีกว่ากัน

2.Glycated hemoglobin (HbA1c)

วิธีนี้เป็นการตรวจวัดระดับโปรตีนฮีโมโกลบินในเซลล์เม็ดเลือดแดงที่ถูกจับเกาะด้วยน้ำตาลกลูโคส ค่าที่ได้จะสะท้อนถึงระดับความเข้มข้นเฉลี่ยของน้ำตาลในเลือดตลอดช่วงเวลา 2 – 3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งชนิดและปริมาณของอาหารที่รับประทานในช่วงนั้นจะมีผลต่อค่านี้มาก ส่วนใหญ่การตรวจด้วยวิธีนี้จะถูกใช้ในการวินิจฉัยโรคเบาหวานและติดตามการควบคุมโรคเบาหวาน เพื่อประเมินความเสี่ยงของการเกิดโรคแทรกซ้อน และไม่จำเป็นต้องอดอาหารเหมือนวิธีเช็กค่าน้ำตาลในเลือดปกติ Fasting Blood Sugar (FBS) 

เจาะเลือดปลายนิ้ว ค่าปกติอยู่ที่เท่าไหร่

เจาะน้ำตาลปลายนิ้ว ค่าปกติจะอยู่ที่ระหว่าง 70 – 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร การเจาะวัดระดับน้ำตาลในเลือด จะมีวิธีที่แตกต่างกันออกไป ผลลัพธ์ที่ได้ก็ย่อมแตกต่างกันเช่นเดียวกัน จึงกลายเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ทางการแพทย์สามารถรับได้ ก็คือ ไม่เกิน 15 – 20 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร อาทิเช่น ระดับเจาะเลือดปลายนิ้ว ได้ 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร เจาะที่ข้อพับแขน บริเวณหลอดเลือดดำ ควรอยู่ในช่วง 75 – 120 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร  

น้ำตาลในเลือดสูง คืออะไร

น้ำตาลในเลือดสูง หรือ Hyperglycemia คือภาวะที่ร่างกายมีการสะสมระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงกว่าปกติ เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ในการเปลี่ยนน้ำตาลไปเป็นพลังงานให้กับร่างกาย สาเหตุส่วนใหญ่มักมาจากคนที่เป็นโรคเบาหวาน และคนที่มีพฤติกรรมชอบรับประทานอาหารประเภทแป้ง คาร์โบไฮเดรตสูง แล้วไม่ออกกำลังกาย นอกจากนี้ยังรวมไปถึงคนที่ชอบทานอาหารรสชาติหวาน น้ำตาลสูงหรือทานของหวานเป็นประจำ เนื่องจากจะส่งผลให้ฮอร์โมนอินซูลินที่หลั่งมาเปลี่ยนเป็นพลังงานไม่หมด และไปสะสมอยู่ในกระแสเลือด หากปล่อยไว้นาน ๆ อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่เสี่ยงต่อชีวิตได้

อาการของน้ำตาลในเลือดสูง

ตามปกติแล้วผู้ที่มีค่าน้ำตาลปกติจะไม่มีอาการเหล่านี้ ทั้งนี้ สามารถสังเกตอาการเบื้องต้นของผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงได้ ดังนี้  

  • ปัสสาวะบ่อย เนื่องจากไตไม่สามารทำงานได้ตามปกติ ไม่สามารถกรองน้ำตาลที่เราทานเข้าไปได้ ขจึงจำเป็นต้องขัยออกทางปัสสาวะ 
  • คอแห้ง รู้สึกกระหายน้ำบ่อย เป็นอาการที่ต่อเนื่องมาจากการปัสสาวะบ่อย เพราะต้องขับน้ำตาลผ่านทางปัสสาวะอยู่บ่อยครั้ง จึงทำให้หิวน้ำบ่อยขึ้น 
  • รู้สึกอ่อนเพลีย เนื่องจากทั้งกระหายน้ำมาก ๆ แต่ก็ต้องขับออกทางปัสสาวะ อาจทำให้รู้สึกเหนื่อยง่าย 
  • ตาพร่ามัว มองไม่ชัด เพราะมีน้ำตาลสะสมอยู่ในกระแสเลือดมากเกินไป ทำให้เข้าไปคั่งอยู่ในเลนส์ตา จนทำให้เส้นเลือดประสาทตาเกิดความผิดปกติ เป็นสาเหตุของอาการเหล่านี้ และอาจนำไปสู่อาการเบาหวานขึ้นตาได้ในที่สุด 
  • แผลหายช้า ร่างกายทำงานไม่มีประสิทธิภาพเท่าเดิม อันเนื่องมาจากน้ำตาลในเลือดที่สูง ส่งผลให้เลือดหนืด เลือดไหลเวียนช้า เมื่อเป็นแผลก็อาจทำให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเองได้ช้าลง แผลก็จะหายช้าลง หรือสามารถเรียกได้ว่าแผลเบาหวานอีกด้วย
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ เพราะร่างกายไม่สามารถดึงเอาน้ำตาลมาเปลี่ยนเป็นพลังงานได้ จึงดึงโปรตีนปละไขมันในร่างกายมาใช้แทน ทำให้น้ำหนักลดลง

ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเท่าไหร่ถึงจะไม่ปกติหรืออันตราย

ระดับน้ำตาลในเลือดปกติเท่าไหร่ ? ระดับน้ำตาลในเลือดปกติจะมีค่าอยู่ที่ประมาณ 70 – 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แต่เมื่อภาวะร่างกายของคนเรามีระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสูงกว่าปกติ ตั้งแต่ 126 มก./ดล. ขึ้นไป (มีการตรวจอย่างน้อย 2 ครั้ง) ถือว่าเป็นเบาหวาน และเมื่อค่าระดับน้ำตาลในเลือดเกิน  180 มก./ดล. ขึ้นไป มีความอันตรายในผู้ป่วยเบาหวานบางรายอาจจะซึมลง รู้สึกสับสน และหมดสติ 

หากปล่อยให้น้ำตาลในเลือดสูงนานเกินไป จะเกิดอะไรขึ้น

การปล่อยให้น้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานานอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น 

  • โรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจวาย หัวใจขาดเลือด หลอดเลือดสมอง เส้นเลือดในสมองตีบ อัมพาต เป็นต้น 
  • โรคไตเสื่อม โรคไตวาย 
  • โรคปลายประสาทเสื่อม  
  • ปัญหาสายตา เช่น ตาเสื่อม จอประสาทตาเสื่อม หรือตาบอด 

วิธีการรับมือน้ำตาลในเลือดสูง

การควบคุมให้มีค่าน้ำตาลปกติ สามารถทำได้โดย

  • ควบคุมอาหาร ควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น เค้ก น้ำอัดลม เครื่องดื่มต่าง ๆ แป้งขัดสี เป็นต้น 
  • ออกกำลังกายเป็นประจำและสม่ำเสมอ การออกกำลังกายจะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ทั้งนี้ควรทำเป็นประจำ ต่อเนื่องและสม่ำเสมอ 
  • รับประทานยาตามแพทย์สั่ง ทานยาให้ตรงเวลาและสม่ำเสมอตามที่แพทย์กำหนด ไม่ควรปรับขนาดยาหรือหยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ และควรสังเกตผลข้างเคียงของยา หากมีอาการผิดปกติให้รีบพบแพทย์ด่วน
  • ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อติดตามอาการของตัวเองในแต่ละวัน โดยสามารถเลือกใช้วิธีเจาะน้ำตาลปลายนิ้ว ค่าปกติที่ได้ควรอยู่ในช่วง 70-100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แนะนำให้ตรวจวัดน้ำตาลในเลือด และจดบันทึกไว้เป็นประจำ

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ คืออะไร

น้ำตาลในเลือดต่ำ คือภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 70 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้หากต่ำกว่า 50 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร มักเกิดขึ้นได้บ่อยในผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเป็นเบาหวาน ประภทที่ 1 อย่างไรก็ตาม คนที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวานก็ควรเฝ้าระวังเช่นกันว่ามีอาการหรือไม่ และเมื่อเกิดอาการแนะนำให้รีบประทานอาหารหวาน ๆ เพื่อบรรเทาอาการในดีขึ้น  

อาการของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

อาการที่พบได้เมื่อน้ำตาลในเลือดต่ำ คือ อาการใจสั่น วิงเวียนศีรษะ มีอารมณ์ฉุนเฉียวได้ง่าย เหงื่อออกมาก มือสั่นจนทำให้รู้สึกออกเพลีย ปาก ลิ้นและแก้มชา นอกจากนี้ ยังมีอาการหิวบ่อย และตัวสั่นร่วมอีกด้วย  

น้ำตาลในเลือดต่ำในคนปกติ

สำหรับค่าระดับน้ำตาลในเลือด ที่ต่ำกว่าปกติ ในคนปกติทั่วไป เมื่อวัดค่าออกมาแล้ว ค่าระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า  50 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ควรรีบแก้ไขให้ด่วนที่สุด เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ตกอยู่ในสภาวะอันร้ายแรง เพราะถ้าร่างกายขาดน้ำตาลก็จะส่งผลเสียอีกแบบ ดังนั้นการเลือกทานน้ำตาลนับว่าเป็นสิ่งที่ควรคำนึงในเรื่องของปริมาณให้ดีอยู่เสมอ และให้เหมาะสมตามแต่ละช่วงวัยอีกด้วย

หลังจากที่ได้ทำความรู้จักระดับน้ำตาลในเลือดปกติเท่าไหร่ ก็ได้ทราบกันไปแล้วว่า เครื่องวัดน้ำตาลในเลือดจะอยู่ที่ช่วง 70 ถึง 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร รีบไปตรวจวัดระดับค่าน้ำตาลในเลือดกันเลยดีกว่า ว่าของทุกคนจะอยู่ในเกณฑ์ไหนบ้าง เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานหรือเปล่า ซึ่งการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด ก็จะมีวิธีการเจาะเลือดที่มีความแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นการเจาะที่บริเวณปลายนิ้ว หรือการเจาะที่ข้อพับแขน  ค่าระดับน้ำตาลในเลือดก็จะออกมาไม่ได้เท่ากันแบบเป๊ะๆ ยังไงก็รีบไปเจาะ เพื่อดูระดับน้ำตาลในเลือดของตัวเองกันได้เลย ทั้งนี้หากรู้ว่าน้ำตาลในเลือดต่างจากค่าที่ควรจะเป็นก็ต้องรีบหันมาดูแลใส่ใจและควบคุมน้ำตาลโดยด่วนเลย

วิธีรับมืออาการน้ำตาลในเลือดต่ำ

การรู้ว่าน้ำตาลในเลือดปกติเท่าไหร่ จะช่วยให้เราสังเกตและรับมือกับภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ดีขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน เมื่อมีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ สามารถรับมือกับอาการเหล่านั้นและปฏิบัติตัวตามได้ ดังนี้ 

  • รับประทานอาหารหวานหรือทานคาร์โบไฮเดรตที่ออกฤทธิ์เร็ว เช่น กล้วยครึ่งผล น้ำผลไม้หรือน้ำอัดลมครึ่งแก้ว น้ำตาล น้ำผึ้งหรือน้ำเชื่อม 1 ช้อนโต๊ะ เป็นต้น 
  • กรณีที่อยู่นอกบ้าน แนะนำให้พกลูกอมหรือน้ำตาลติดตัวไว้ตลอด 
  • หากอาการรุนแรง ทานอาหารที่มีรสหวานหรืออมลูกอมแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์ทันที

สรุปบทความ

การรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ (70-100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร) มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการเจาะเลือดปลายนิ้ว เพื่อติดตามผลเองที่บ้านหรือการตรวจที่โรงพยาบาล ค่าน้ำตาลในเลือดที่ผิดปกติอาจบ่งชี้ถึงปัญหาสุขภาพที่ต้องได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วน การตรวจวัดค่าน้ำตาลอย่างสม่ำเสมอ ควบคู่กับการดูแลสุขภาพที่ดี จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและรักษาสุขภาพให้แข็งแรงในระยะยาวอีกด้วย 

สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพหรือผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องติดตามค่าน้ำตาลอย่างสม่ำเสมอ เครื่องตรวจน้ำตาลในเลือดจาก สมาพันธ์ เฮลท์ เป็นตัวช่วยที่ตอบโจทย์การใช้งาน ด้วยดีไซน์ทันสมัย พกพาสะดวก ใช้งานง่าย ช่วยให้การติดตามและควบคุมระดับน้ำตาลทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถดูรายละเอียดและสั่งซื้อได้ที่ร้านขายยาและอุปกรณ์การแพทย์ชั้นนำทั่วไป