อาการปวดหลังเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศ ทุกวัย แต่จะปวดมาก ปวดน้อย หรือปวดบ่อยแค่ไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและปัจจัยต่าง ๆ ของแต่ละบุคคล ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นอาการปวดหลังที่ไม่อันตราย เมื่อได้พักหรือยืดเส้นยืดสายอาการก็จะดีขึ้น และไม่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ก็มีบางคนที่มีอาการปวดรุนแรง เรื้อรัง และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันเช่นเดียวกัน ดังนั้น เรามารู้จักสาเหตุของอาการปวดหลัง และวิธีบรรเทาอาการปวดหลังด้วยตัวเองในเบื้องต้นกันดีกว่า
อาการปวดหลังเกิดจากอะไร?
อาการปวดหลังสร้างความลำบากให้กับผู้ที่มีอาการอย่างมาก ไม่ว่าการปวดนั้นจะเกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การออกกำลังกาย การเคลื่อนไหวผิดจังหวะ หรือเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เช่น กระดูกสันหลังเสื่อม หมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท และหรือไขสันหลัง เนื้องอกของไขสันหลัง เส้นประสาทหรือกระดูกสันหลัง มะเร็งจากอวัยวะอื่นแพร่กระจายมาที่กระดูกสันหลัง มะเร็งของกระดูกสันหลังหรือไขสันหลังเอง
นอกจากนี้ยังสามารถเกิดขึ้นได้จากการอักเสบติดเชื้อของกระดูกสันหลัง หรือภายในช่องโพรงไขสันหลัง รวมถึงสาเหตุจากอวัยวะหรือระบบอื่น ๆ เช่น นิ่วในทางเดินปัสสาวะ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ หรือความผิดปกติของหลอดเลือดแดงใหญ่ในช่องท้อง ก็อาจทำให้เกิดอาการปวดหลังได้เช่นกัน
ดังนั้น เมื่อเกิดอาการขึ้น ก็ควรจะสังเกตความรุนแรงระยะเวลา และโดยเฉพาะอาการอื่นที่เกิดขึ้นร่วมด้วย หากพบว่ามีอาการปวดรุนแรงอาการปวดไม่ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ หรือมีอาการร่วมที่ได้บรรยายไว้ข้างต้นก็ควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุ และทำการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
อาการปวดหลังแต่ละตำแหน่ง เป็นสัญญาณเตือนบอกโรคอะไรได้บ้าง?
อาการปวดหลังแต่ละตำแหน่งและแต่ละลักษณะ เป็นสัญญาณเตือนที่สามารถบ่งบอกถึงโรคบางอย่างได้ ดังนี้
- ปวดหลังจากการยกของหนัก อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคกล้ามเนื้ออักเสบ กระดูกหรือหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน
- ปวดแนวกระดูกกลางหลัง อาจเป็นสัญญาณเตือนว่ามีปัญหาที่หมอนรองกระดูกสันหลัง หรือข้อต่อกระดูกสันหลัง
- ปวดหลังเยื้องออกมาด้านข้าง อาจเป็นสัญญาณเตือนว่ากล้ามเนื้อหลังมีความผิดปกติ
- ปวดร่วมกับมีอาการชา-อ่อนแรง อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าระบบประสาทเส้นประสาทเกิดความผิดปกติ
- ปวดร้าวเหมือนไฟฟ้าช็อต อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าเส้นประสาทถูกกดเบียด
- ปวดหลังแบบล้า ๆ เมื่อย ๆ อาจเป็นสัญญาณเตือนว่ากล้ามเนื้อเกิดการอักเสบ
วิธีบรรเทาอาการปวดหลังด้วยตัวเอง
สำหรับคนที่มีอาการปวดหลังในระดับที่ยังไม่รุนแรง สามารถบรรเทาอาการปวดหลังได้ง่าย ๆ ด้วย 5 วิธีบรรเทาอาการปวดหลังด้วยตัวเอง จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย
1. ใช้แผ่นประคบร้อน
เนื่องจากความร้อนชื้น สามารถลงไปคลายการเกร็งตัวของชั้นกล้ามเนื้อได้ดียิ่งขึ้น การใช้เจลประคบร้อนเย็น หรือแผ่นประคบร้อนจึงเป็นวิธีที่สามารถบรรเทาอาการปวดหลังให้ทุเลาลงได้อย่างสะดวกสบาย อีกทั้งยังประคบได้หลายบริเวณตามความเหมาะสม ตั้งแต่การใช้งานในบริเวณทั่วไปครอบคลุมไปถึงพื้นที่ปวดขนาดใหญ่อย่างบริเวณหลังอีกด้วย
2. ยืดกล้ามเนื้อ
การยืดเหยียดกล้ามเนื้อช่วยให้กล้ามเนื้อที่มีการตึงตัวหรือเกร็งตัวได้คลายออก ทำให้ช่วยลดอาการปวดได้ โดยเลือกท่าการยืดให้เหมาะสม หรืออาจจะใช้การยืดจากการออกกำลังกาย อย่างโยคะ หรือพิลาทีส ก็สามารถทำได้เช่นกัน
3. ออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
นอกจากยืดเหยียดกล้ามเนื้อแล้ว มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ช่วยเพิ่มทั้งกำลังและความทนทานให้แก่กล้ามเนื้อ โดยเลือกการออกกำลังที่เหมาะสมไม่หักโหมจนเกิดการบาดเจ็บเพิ่มได้
4. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน
อาการปวดหลังสามารถเกิดขึ้นได้จากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น การนั่งอยู่ท่าเดิมเป็นเวลานาน การยกของหนัก การเปลี่ยนท่าทางเร็ว ๆ การทำกิจกรรมหรือท่าทางที่เสี่ยงต่อการเป็นเจ็บ เป็นต้น ดังนั้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเหล่านี้ จะช่วยให้คุณสามารถบรรเทาและป้องกันการเกิดอาการปวดหลังได้
5. ปรับสภาพแวดล้อมในการทำงาน
สภาพแวดล้อมในการทำงาน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ ดังนั้น จึงควรให้ความสำคัญกับการปรับสภาพแวดล้อมการทำงานให้เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น การปรับเก้าอี้ให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ปรับความสูงของโต๊ะทำงานให้พอดีกับสายตา การเลือกใช้อุปกรณ์ทำงานที่ถูกต้องตามหลักสรีรศาสตร์ กรณีที่ต้องใช้แรงในการยกของหนัก ควรยกในท่าทางที่ถูกต้องหรือใช้อุปกรณ์ที่ช่วยพยุงหลังให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม เป็นต้น
สรุปบทความ
แม้ว่าอาการปวดหลังจะเป็นอาการที่สามารถพบเจอได้เป็นประจำ และไม่ใช่อาการที่อันตรายร้ายแรง แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษาหรือหาสาเหตุของอาการปวดที่แน่ชัด จากอาการปวดทั่วไปก็อาจจะพัฒนาไปเป็นอาการปวดที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ดังนั้น หากพบว่ามีอาการปวดหลังเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ และมีอาการหนักขึ้นเรื่อย ๆ ควรจะรีบไปแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องโดยเร็วที่สุด