ภูมิแพ้… โรคธรรมดาที่ไม่ควรมองข้าม
ในปัจจุบันประชาชนป่วยเป็นโรคภูมิแพ้กันมากขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะวิถีการดำรงชีวิตที่ เปลี่ยนไป โดยโรคภูมิแพ้เป็นโรคที่เกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายเมื่อได้รับหรือสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ เช่น เกสรหญ้า ขนสุนัข ขนแมว ไรฝุ่น หรือสารก่อภูมิแพ้จากอาหาร เช่นแป้งสาลี นม ไข่ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังพบว่าสาเหตุของโรคนี้ยังเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ด้วย
อาการของโรคภูมิแพ้
ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้อาการแตกต่างกันไปตามอวัยวะที่เกิดโรค เช่น โรค จมูกอักเสบภูมิแพ้ จะมีอาการคัดจมูก คันจมูก จาม น้ำมูกใสๆ บางครั้ง อาจมีอาการคันตาร่วมด้วย ส่วนโรคหืดภูมิแพ้จะมีอาการแน่นหน้าอก เหนื่อยหอบ หายใจมีเสียงวี้ด และโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้จะมีผื่นที่ผิวหนัง เป็นๆ หายๆ ส่วนใหญ่จะคันมาก
การตรวจวินิจฉัย
โรคภูมิแพ้เป็นได้เกือบทุกวัยโดยเฉพาะในสังคมเมืองหรือสังคมอุตสาหกรรม เมื่อสงสัยว่าเป็นโรคภูมิแพ้ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการ ตรวจว่าเป็นภูมิแพ้จริงหรือไม่ โดยแพทย์จะแนะนำให้ตรวจทดสอบภูมิแพ้ อย่างง่ายๆ ว่าผู้ป่วยแพ้สารภูมิแพ้ชนิดใด เพื่อจะได้หลีกเลี่ยง ก็จะทำให้ อาการดีขึ้น หากยังมีอาการอยู่แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาร่วมด้วย เช่น หากเป็นโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้อาจใช้ยาแก้แพ้และยาพ่นละอองฝอยเข้าไปในรูจมูก หากเป็นโรคหืดภูมิแพ้ก็อาจใช้ยาสูดเข้าทางปาก เป็นต้น
การรักษาโรคภูมิแพ้ปัจจุบันมี 3 วิธีคือ
1. การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้อย่างถูกวิธีก็จะทำให้อาการดีขึ้น นอกจากนั้นควรกำจัดหรือลดปริมาณของสารก่อภูมิแพ้ที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้เหลือน้อยที่สุดโดยเฉพาะสิ่งแวดล้อมภายในบ้าน ซึ่งเป็นส่วนที่สามารถ ควบคุมได้ เช่น
♦ การทำความสะอาดบ้าน การจัดห้องนอนให้โล่ง มีเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น ไม่ควรใช้สิ่งของที่เป็นที่ กักเก็บฝุ่นได้
♦ สัตว์เลี้ยง ไม่ควรนำมาเลี้ยงไว้ในบ้าน หรือ อย่างน้อยไม่ควรให้อยู่ในห้องนอน
♦ ละอองเกสรดอกไม้ เกสรหญ้าและวัชพืช ควร ตัดหญ้าและวัชพืชในสนามเพื่อลดจำนวน ละออง เกสร
นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยง สารระคายเคืองต่าง ๆ เช่น ฝุ่น ควัน กลิ่นฉุน หรือแรง อากาศที่เย็นหรือร้อนเกินไป การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของ อากาศ อย่างรวดเร็ว การอดนอน การดื่มเหล้า หรือสูบบุหรี่ อารมณ์ที่ ตึงเครียด ไม่สบายใจ ซึ่งผู้ป่วยควรสังเกตว่าสารหรือภาวะแวดล้อม หรือการปฏิบัติอย่างไรที่ทำให้อาการของโรคมากขึ้น ควรพยายามหลีกเลี่ยง สิ่งนั้น
2. การใช้ยา เช่น ยารับประทาน ยาพ่นเข้าจมูก หรือยาสูดเข้าหลอดลมอาจมีความจำเป็น ผู้ป่วยควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดและไม่ควรซื้อยา มาใช้เอง จึงควรมาตามแพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด จากการใช้ยา
3. การฉีดวัคซีน เป็นการรักษาโดยฉีดวัคซีนสารก่อภูมิแพ้ซึ่งแพทย์จะทดสอบภูมิแพ้ก่อนว่าแพ้สารก่อภูมิแพ้ชนิดใด แล้วฉีดสารก่อภูมิแพ้ชนิดนั้นๆ เพื่อให้ร่างกาย ผู้ป่วยมีการปรับภูมิต้านทานทีละเล็กทีละน้อย แล้วค่อยๆ เพิ่มปริมาณ วัคซีน จนในที่สุดร่างกายมีภูมิต้านทานต่อสิ่งที่แพ้ได้ เมื่อได้รับสารก่อภูมิแพ้ ก็จะมีอาการน้อยลงหรือไม่มีอาการเลย
เมื่อเป็นโรคภูมิแพ้ควรใช้ยาตามที่แพทย์แนะนำ และดูแลตัวเองเป็นพิเศษ รับประทานอาหารที่มี ประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงสารก่อ ภูมิแพ้ และที่สำคัญควรออกกำลังกายสม่ำเสมอจะทำให้ ร่างกายแข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอและรักษา สุขภาพจิตให้สดชื่นแจ่มใส อาการก็จะดีขึ้น วิธีนี้จะใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการมากและไม่ สามารถควบคุมอาการได้ด้วยยา การรักษา ด้วยวิธีนี้ควรฉีดวัคซีนภูมิแพ้อย่างสม่ำเสมอ ตามที่แพทย์แนะนำ โดยใช้เวลาประมาณ 3 – 5 ปี